Revolution: กบฏแห่งเทคโนโลยีล้ำยุค ที่จะพลิกโฉมโลกไปตลอดกาล!!

หากพูดถึงซีรีส์แนวไซ-ไฟ ดราม่า สุดเข้มข้นที่ออกอากาศในปี 2012 คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “Revolution” เป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงรางวัลความบันเทิงระดับคุณภาพสูง ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การนำเสนอโลกอนาคตอันหดหู่จากภัยพิบัติ แต่ยังขุดลึกลงไปถึงจิตวิญญาณของมนุษย์ การต่อสู้เพื่ออิสรภาพ และความสัมพันธ์ครอบครัวที่ซับซ้อน

“Revolution” สร้างเรื่องราวขึ้นมาจากคำถามสุดท้าทาย: จะเกิดอะไรขึ้นหากโลกถูกพรากไปจากพลังไฟฟ้าอย่างสิ้นเชิง? เหตุการณ์ในซีรีส์เริ่มต้นด้วยความมืดมิดอย่างกะทันหัน โทรศัพท์ดับ การสื่อสารล่ม ผู้คนตกอยู่ในความอลหม่าน และโลกก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่

ในขณะที่หลายๆ ประเทศพยายามฟื้นฟูและสถาปนาอำนาจขึ้นมาใหม่ แต่กลุ่ม “militia” กลับใช้โอกาสนี้ในการก่อตั้งรัฐบาลที่เข้มงวด การต่อสู้เพื่อการอยู่รอดจึงกลายเป็นเรื่องปกติ

ตัวละครหลักของเรื่องคือ “Charlie Matheson” (รับบทโดย เมแกน โพเวลล์) หญิงสาวที่มีความสามารถพิเศษและ दृ่มการณ์ไกล เธอต้องออกตามหาพ่อของเธอ ซึ่งเป็นอดีตทหารที่หายตัวไป และในระหว่างการตามหา เธอก็ได้พบกับกลุ่มผู้รอดชีวิตที่รวมตัวกันต่อสู้กับ “militia”

นอกจากนี้ “Revolution” ยังได้นักแสดงชื่อดังมาร่วมแสดงอีกหลายคน อาทิ

• Giancarlo Esposito (รับบท Gus Fring จาก Breaking Bad) มารับบทเป็น Tom Neville

• Zak Orth (รับบท Kevin Walker ในซีรีส์ Everwood) มารับบท Miles Matheson

ความสำเร็จของ “Revolution” มาจากหลายปัจจัย:

• พล็อตเรื่องที่น่าติดตาม: การสูญเสียพลังไฟฟ้าเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ ทำให้ผู้ชมต้องคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

• ตัวละครที่มีมิติ:

• ฉากแอ็คชั่นที่ตื่นเต้น: การต่อสู้ระหว่างผู้รอดชีวิตกับ “militia” จะทำให้คุณติดจอทีวี

ข้อดีและข้อเสียของซีรีส์ “Revolution”

บทสรุป

“Revolution” เป็นซีรีส์ Sci-fi ที่ควรค่าแก่การรับชม หากคุณกำลังมองหาความบันเทิงจากโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยจินตนาการ การต่อสู้เพื่ออิสรภาพ และความสัมพันธ์ครอบครัวที่ซับซ้อน “Revolution” จะพาคุณไปสู่โลกแห่งการผจญภัยและความตื่นเต้น

คำแนะนำ:

• รับชม “Revolution” พร้อมกับกลุ่มเพื่อนเพื่อเพิ่มความสนุก
• ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับตัวละครและความสัมพันธ์ของพวกเขา
• พยายามคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในแต่ละตอน